Intermediate Archives - Page 6 of 8 - Learn Thai from a White Guy

Valentine’s Day

Wiki Excerpt – The wiki is super long and not terribly interesting (awfully boring) so I’m just gonna give you an easy in on the first paragraph and the rose key at the end.

วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine’s Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) ตรงกับวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยาย

Vocabulary:

  • นักบุญ – a dude who has ทำ’d a whole lotta บุญ
  • ตรงกับ – to correspond with; fall on (the same day as)
  • ประเพณี – tradition(al)
  • โดยการ – by doing (whatever comes after การ)
  • โดยมาก – mostly (ส่วนมาก; ส่วนใหญ่)
  • ระบุ – identify; specify
  • ยุค – era; age
  • เอาใจ – court; try to please; pamper
  • แผ่ขยาย – spread

In the Name of the Rose

  • กุหลาบแดง  : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า “ฉันรักเธอ”
  • กุหลาบขาว  : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
  • กุหลาบชมพู : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
  • กุหลาบเหลือง  : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน

Vocabulary:

  • ความหมาย – meaning
  • แทน – substitute; in place of
  • ประโยค – sentence
  • บริสุทธิ์ – pure
  • เสน่หา – love; affection [สะ เหน่ หา]
  • สดใส – bright; cheerful

Nana

Nana the Movie
นานะเป็นการ์ตูน เอ้ย!ไม่ใช่การ์ตูน เป็นหนัง น่าจะเป็นหนังญี่ปุ่น(อ้าวเหรอ) เออ!เพราะว่าเพลงที่ขึ้นเป็นเพลงญี่ปุ่น ชื่อ? แน้!รู้เพลงญี่ปุ่นด้วย 55++ เสร็จแล้ว เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิง 2 คน ที่มีชื่อเหมือนกัน คนหนึ่ง (อ่า…ก็เคยดูเหมือนกันนะ) เออ!คนหนึ่งนะจะมีความฝันจะเป็นนักดนตรี (รู้ล่ะ) ที่มีชื่อเสียง(อือฮือ!) แต่อีกคนมีความฝันอยากจะเป็นคนที่ถูกรัก โดยที่แบบ คือ….เพ้อเจ้อหน่อยๆนะเรื่องของความรัก สองคนนี้พอดีได้ไปโตเกียว ไปเที่ยวรถ รถไฟคันเดียวกัน ขบวนเดียวกัน ก็ไปเจอกันบนรถไฟ แล้วก็บังเอิญอีกครั้งหนึ่ง ไปแชร์ห้องแล้วก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็เลยได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นานะคนแรกก็คือนานะที่มีความฝันเป็นนักดนตรีเนี่ยเค้าจะเป็นคนที่อาร์ทๆนะแต่งตัวตีสท์นะ แล้วก็ชอบใส่ชุดสีดำอะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เป็นแนวเซอร์ๆหน่อย ไม่ค่อยอะไรกับใคร มีโรคส่วนตัวสูง แต่อีกคนหนึ่งเป็นแนวแบบอ่า….ช่างเพ้อฝันนะค่ะ คิคุอะโนเน๊ะ น่ารัก ต้องอยู่กับคนรัก คนรักต้อง.. แล้วสุดท้ายคนรักเค้าก็นอกใจเพราะว่าไปอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีความ เค้าเรียกว่า ความใกล้ชิด เลยทำให้คนนั้นเปลี่ยน(ไป) เค้าก็เลยเสียใจ แล้วก็อยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งก็แฟน(เก่า)ของคน คนนั้นนะที่เป็นนักดนตรีนะค่ะ เค้าก็เป็น ตอนนี้คือ เค้าเรียกว่าอะไร? เป็นแบนด์แล้วนะ เป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียง เค้าก็ไปดูกัน แล้วก็สุดท้ายแล้ว นานะคนที่เป็นนักดนตรีเนี่ย ก็สมหวังก็คือผู้ชายคนนี้ก็กลับมารักแล้วก็สมหวังกัน  กับอีกคนที่เพ้อฝัน เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เค้าแค่เห็นเพื่อนเค้ามีความสุขก็ดีใจแล้ว เค้าก็ยังมีความใฝ่ฝันที่จะตามหาคนคนนั้นที่จะรักเค้าคนเดียวต่อไป ก็จบ (จบ)

Robinson Crusoe – Transcript

[youtube=http://www.youtube.com/watch?v=P1aTwMX2vZ4]

Robinson Crusoe

ก็เป็นคนหนึ่งชาว(หัวเราะ) สักอันหนึ่งอ่ะ(หัวเราะ) จำไม่ได้ไง จำได้แค่ว่าคือ เค้าง่ะเป็นคนที่ชอบ  ชอบการผจญภัย เค้าก็เลย  ที่จำได้ก็คือ เค้าออกไปแล่นเรือกับเพื่อนๆ  กับอะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เหมือนแบบเกิดโดนโจรสลัดนะมาปล้น  แล้วเค้าก็ถูกจับไปเป็นเชลย แล้วเสร็จแล้วเค้าก็ แต่ว่าเจ้านายเค้านะเป็นคนดี ใจดีมากเลย พอเค้าถูกจับไปอะไรอย่างเงี่ยก็คือไปเป็นทาส แต่ว่าเค้าก็ไม่ได้แบบโหดร้ายทารุณอะไร อะไรชายคนนี้ นายเอแล้วกันบู๋จำชื่อไม่ได้ ไม่ได้ทารุณเอ แล้วพอมาวันหนึ่งเค้าก็ให้ออกไปแบบไปล่องเรือคือประมาณแบบว่ามีโอกาสที่จะหลบหนี เค้าก็เลยหลบหนีออกไปเสร็จแล้วปุ๊บก็เค้าก็เรือมันแบบไม่ได้ใหญ่อะไรมากอย่างเงี่ย มันก็เลยเหมือนแบบอับปราง แล้วก็ไปติดอยู่บนเกาะ เค้าก็อยู่บนเกาะคนเดียวคือคนอื่นนะตายหมดเลยอะไรอย่างเงี่ย เค้าก็อยู่บนเกาะคนเดียว แล้วก็พอเค้าตื่นขึ้นมาคือประมาณว่าก็อยู่บนเกาะที่ข้างรอบๆข้างก็มีแต่ทะเลอย่างเงี่ย เค้าก็ไม่รู้ต้องใช้ชีวิตอย่างไง ต้องทำอย่างไง เค้าก็เริ่มเรียนรู้ว่าอยู่บนนี้อันดับแรกก็ต้องสร้างๆบ้าน สร้างที่พัก สร้างที่อยู่ แล้วก็หาอะไรมากิน แล้วการจะหาอะไรกินก็ต้องเป็นผลไม้หรือว่าเป็นสัตว์ป่าที่อยู่ตรงนั้น แล้วก็น้ำก็ต้อง เค้าก็ต้องรู้จักที่จะจุดไฟแล้วก็มีหม้อ มีอะไรอย่างเงี่ยเพื่อที่จะเอามาต้มน้ำ เพราะถ้าเกิดกินน้ำที่มันมาจากน้ำทะเลหรือจากที่แบบตามแหล่งน้ำที่แบบตรงนั้นมันก็ต้องแบบไม่สะอาด แล้วก็อาจจะทำให้เค้าติดเชื้ออะไรอย่างงี้ได้ เค้าก็เลยแบบต้องหาหม้อมาต้ม แล้วเค้าจะหาหม้อจากไหน คือเค้าไม่มีอะไรเลย เค้าก็เลยแบบต้องเริ่มสร้างจากหินจากอะไรอย่างเงี่ยก็เอาหินมาแบบ เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ ตีๆๆต่อยกันจนแบบเหลาให้เป็นไม้ เป็นมีดดาบ อะไรอย่างเงี่ย คือ เครื่องครัวอะไรต่างๆนาๆของเค้า คือเหมือนประมาณว่าบ้านหลังหนึ่งควรจะมีของอะไรบ้าง คือเค้าสร้างขึ้นมาเองหมดเลย แต่ว่าระยะเวลาในการสร้างก็คือ เค้าอยู่ที่นี้ประมาณ 27 ปี เพื่อที่จะสร้างพวกนี้ให้ครบหมดทุกอย่างเลย จนสุดท้ายสุดที่เค้านะหลบหนีออกมาจากเกาะนี้ได้ก็มีคนหนึ่งก็ ไม่ใช่มีคนหนึ่งก็กลุ่มหนึ่งเหมือนกัน เค้าเป็นเหมือนเป็นกัปตันเรือ แล้วเค้าก็ถูกจับโดยแบบมีแบบมีพวกที่ทรยศเค้าเนี่ยในเรือเดียวกันนี้ เค้าก็ถูกจับเอาไว้ เค้า(นายเอหรือRobinson)ก็เหมือนแบบไปช่วยคนเนี่ย(กัปตัน) แล้วคนเนี่ยก็เลยบอกว่า เออเนี่ย! ทำแผนกันว่าเค้า(กัปตัน) จะไปเอาเรือคืนอะไรอย่างเงี่ย ไปเอาเรือคืน แล้วถ้าเกิดเค้าส่งสัญญาณมานั้นแปลว่าสงบแล้วก็ให้เค้าออกไป แล้วเค้าก็จะพาไปกลับบ้านเค้าอะไรอย่างเงี่ย(เป็นคนประเทศเดียวกัน) แล้วสุดท้ายแล้วกัปตันนี้ก็ทำสำเร็จก็เลยพาเค้ากลับบ้านแล้วก็จับไอ้พวกที่ทรยศนั้นน่ะให้มันถูกจับอยู่เกาะแทนเงี่ย แต่พวก แต่ว่าพวกนี้ก็ยังโชคดีกว่าเค้าตอนที่เค้ามาครั้งแรกคือเค้าไม่มีอะไรเลย เค้าสร้างเองหมด แต่ตอนนี้พวกเนี่ยมาคือเค้าสร้างไว้ให้หมดแล้ว อย่างงั้นพวกนี้ก็ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่ามันจะติดต่อกับใครไม่ได้เท่านั้นเอง แล้วเค้าก็ได้กลับบ้าน แต่สรุปสุดท้ายเค้าก็คิดว่าเค้าจะไม่ ไม่ล่องเรืออีกล่ะ จะไม่ทำอะไรอีกล่ะ ก็คือแบบจะอยู่ชีวิตเฉยๆธรรมดาๆ เรียบง่ายอะไรอย่างเงี่ย แต่การที่เค้ากลับไป 27 ปีที่เค้าไม่อยู่ พอเค้ากลับไป พ่อ แม่ ของเค้าก็ตาย พี่ชายเค้า ญาติเค้าก็คือตาย(ไป)หมดเลย เหลือแต่หลาน หลานกับลูกของพี่ชาย(หลานอีกคน) ก็ประมาณ 2 คนเท่านั้นแหละที่เค้า(ไป)อยู่ด้วย แล้วสรุปสุดท้ายหลานเค้าคนโตเนี่ยก็ชอบเหมือนกัน ชอบเหมือนกับเค้าก็เลยแบบชวนเค้าออกไปล่องเรืออีกครั้งหนึ่ง เค้าก็เลยได้ออกมาผจญภัยอีกครั้งหนึ่งเนี่ย เค้าก็เลยคิดว่าเองเค้านะเป็นเรื่องที่แปลก เรื่องที่แปลกที่วันหนึ่งจะต้องเอามาเขียนเป็นหนังสืออะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เอามาขายได้ อะไรอย่างเงี่ย อืมมม จบล่ะ

This is not a Diary

Excerpt from เด็กไม่เอาถ่าน  

วันอังคาร

ก่อนอื่นฉันขอบอกให้ชัดๆ ไปเลยว่า

นี่เป็นบันทึกประจำวัน   

ไม่ใช่ไดอารี่ ถึงบนหน้าปกมันจะเขียนไว้ว่าอย่างนั้นก็เถอะ

เมื่อตอนที่แม่ออกไปซื้อมันมาน่ะ

ฉันก็ ย้ำนัก ย้ำหนา แล้วว่าอย่าเอาเล่มที่เขียนว่า “ไดอารี่” มา   

คิดดูสิ ถ้าเกิดมีเจ้าโง่ที่ไหนมาเห็นฉันถือสมุดเล่มนี้เดินไปเดินมา

แล้วเข้าใจผิดละก็

แล้วก็อีกอย่างนะ

ต้องบอกให้เคลียร์ๆ กันตรงนี้เลยว่า

นี่เป็นความคิดของแม่ ไม่ใช่ความคิดฉัน   

แล้วถ้าแม่คิดว่าฉันจะเขียน “ความรู้สึก”  ของฉัน

หรืออะไร ทำนองนั้นลงในนี้ละก็ แสดงว่าแม่เพี้ยนไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น อย่ามาหวังซะให้ยากว่าฉันจะ เขียนว่า  

“ไดอารี่ที่รัก” อย่างนั้น “ไดอารี่ที่รัก”  อย่างนี้  

เหตุผลเดียวจริงๆ ที่ฉันยอมเขียนก็คือ

ฉันเกิดคิดได้ว่า อีกหน่อยพอฉันรวยและมีชื่อเสียงแล้วนะ

ฉันก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำงี่เง่าทั้งวันไงละ

Reporter A – “เกรกอรี่! ช่วยเล่าเรื่องสมัยเด็กใ้ห้เราฟังหน่อย!”

Reporter B – “วุ้ย คุณนี่ ทั้งหล่อทั้งฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยเหรอค้า”

Greg – “เิอ้านี่บันทึกประจำวันของผมเอาไปอ่านซะ”

สมุดเล่มนี้จะช่วยได้มากเลย ****************************************************************************

วันอังคาร

ก่อนอื่นฉันขอบอกให้ชัดๆ ไปเลยว่า – first off, I want to make it very clear that  

 

นี่เป็นบันทึกประจำวัน – this is a journal 

 

ไม่ใช่ไดอารี่  – not a diary

 

ถึงบนหน้าปกมันจะเขียนไว้ว่า as for the cover saying  

 

อย่างนั้น that (diary)

 

 ก็เถิะ – whatever (I don’t care, it doesn’t matter)

 

เมื่อตอนที่ – When 

 

แม่ออกไปซื้อมันมาน่ะ – my mom went out to go buy it  

 

ฉันก็ ย้ำนัก ย้าหนา แล้วว่า – I told her a million times..

 

อย่าเอาเล่มที่เขียนว่า “ไดอารี่” มา – not to come back with a book that said diary (on the cover)

 

 

คิดดูสิ I mean, think about it..

 

ถ้าเกิด what if

 

มีเจ้าโง่ที่ไหนมาเห็นฉัน some idiot came along and

 

ถือสมุดเล่มนี้เดินไปเดินมา – saw me walking around carrying this book (that says diary on the cover)

 

แล้วเข้าใจผิดละก็ – and misunderstands?

 

แล้วก็อีกอย่างนะ – And another thing..

 

ต้องบอกให้เคลียร์ๆ กันตรงนี้เลยว่า – that needs to be said (made clear, pointed out)

 

นี่เป็นความคิดของแม่ – This was my mother’s idea.

 

 ไม่ใช่ความคิดฉัน – Not mine.

 

 

แล้วถ้าแม่คิดว่า – If my mom thinks that..

 

ฉันจะเขียน “ความรู้สึก”  ของฉัน – I’m going to write about my ‘feelings’..

 

หรืออะไร  ทำนองนั้น – or any other gushing nonsense

 

ลงในนี้ละก็ – in this book, well.. 

 

แสดงว่า – then it shows that

 

แม่เพี้ยนไปแล้ว – my mother has gone mad

 

เพราะฉะนั้น  s

อย่ามาหวังซะ  ให้ยากว่าฉันจะ – don’t get your hopes up/expect to see me 

 เขียนว่า  “ไดอารี่ที่รัก”  – writing ‘dear diary’ this

อย่างนั้น “ไดอารี่ที่รัก”  อย่างนี้ – or ‘dear diary’ that

 

 

เหตุผลเดียวจริงๆ – And the main reason… 

 

ที่ฉันยอมเขียนก็คือ – I’ve agreed to write this is .. 

 

ฉันเกิดคิดได้ว่า -I realized that 

 

อีกหน่อยพอฉันรวย – before long I will be rich

 

และมีชื่อเสียงแล้วนะ – and famous..

 

ฉันก็จะได้ไม่ต้อง – I won’t have to 

 

มาคอยตอบคำงี่เง่าวันไงละ – wait around answering stupid questions 

 

Reporter A – “เกรกอรี่! ช่วยเล่าเรืองสมัยเด็กใ้ห้เราฟังหน่อย!”

 – Gregory ! Please tell us all about your childhood!

 

Reporter B – “วุ้ย คุณนี่ ทั้งหล่อทั้งฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยเหรอค้า”

-Oooh, have you always been this handsome and clever?

 

Greg – “เิอ้านี่บันทึกประจำวันของผมเอาไปอ่านซะ”

-Here, just go read my journal.

 

สมุดเล่มนี้จะช่วยได้มากเลย – See, this book will be a big help.  

 

 

 

I’ve got Cooties

I picked it up while I was in Bangkok for a week.  I wasn’t searching particularly for this one, but I’m pleased with it.   Ok, so its a book. 

The book is called “ไดอารี่ ของ เด็ก ไม่เอาถ่าน.”  Its a translation from an English book.

Anyways, here is the excerpt that I saw while skimming through that led me to plunk down a whopping 245 baht for this book.

A few words to help you out:

 

  • พละ                P.E. Class
  • สนาม บาส      Basketball court
  • เป็นตามคาด    as expected
  • หล่น                to fall off 
  • มีราขึ้น / ขึ้นรา  to be moldy
  • ขยะแขยง       disgusting
  • อุตรี                strange
  • หมอนี่            this kid/guy
  • วิธี                 way; method
  • ป้องกัน          protect
  • ไขว้นิ้ว          cross fingers

เสนียด = cooties  *Really the word means something more like a curse or bad mojo or something, but thats how they translated and it works for me.

 

วันพุธ 

วันนี้เรามีวิชาพละ พอฉันออกมาข้างนอกได้ ก็รีบไปดูที่ สนามบาส ก่อนเลย อยากจะดูซิว่า แผ่นชีส ยังอยู่ที่นั่นรึเปล่า แล้วก็เป็นตามคาด มันยังอยู่

แผ่ชีส นี่อยู่ที่สนามมา ตั้งแต่เทอมก่อนโน่น มันคง หล่นมาจากแซนด์วิช ของใครสักคน หลังจากนั้นไม่กี่วันแผ่นชีสก็เริ่มมีราขึ้น ดูน่าขยะแขยง ก็เลยไม่มีใครเล่นบาสที่สนามนั่นเลย ถึงจะเป็นสนามเดียวที่ห่วงมีตาข่ายก็เหอะ 

แล้ววันนึงก็ดันมีคนอุตริเอานี้วไปจิ้มชีส เจ้าหมอนี่ชื่อ ดาร์เรน วอลช์ และนั่นเป็นจุดเริ่มของไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าเสนียดชิส มันก็เหมือนกับเสนียดทั่วไปนั่นแหละ ถ้าโดนเสนียดชีสแล้วก็ต้องมีเสนียดติดไปตลอดจนกว่าจะส่งต่อใ้ห้คนอื่น

วิธีเดียวที่จะป้องกันตัวไม่ให้ติดเสนียดคือต้องไขว้นี้วเอาไว้ แต่แหม ใครจะไปไขว้ินิ้วอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวันล่ะ มันก็ต้องมีลืมกันบ้าง ฉันก็เลยเอาเทปกาวพันนิ้วให้มันไขว้กันไวัตลอดเวลาซะเลย มันทำให้ฉันได้เกรด D ในวิชาคัดลายมือก็จริง แต่ก็คุ้มแหละน่ะ

มีเด็กคนนึงชื่อ เอ๊บ ฮอลล์ถูกเสนียดชีสในเมษายน ไม่มีใครเข้าใกล้หมอนั่นตลอดทั้งปี ฤดูร้อนปีนี้เอ๊บย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนียและเอาเสนียดชีสติดตัวไปด้วย

ฉันหวังว่าคงจะไม่มีใครเริ่มต้นเสนียดชีสนี่อีกนะ เพราะฉันไม่อยากเครียดแบบนั้นอีกแล้วในชีวิตนี้