Reading Archives - Page 13 of 21 - Learn Thai from a White Guy

Close Encounters

No breakdown for this one. Give it a shot. It isn’t hard – I promise. While I still feel like the Thai wiki is lacking in some areas, you can still find some fun stuff to read.

Here are a few words to help you out:

มนุษย์ต่างดาว – alien
หมายถึง – to mean; means; refers to
หลา – yard
จานบิน – I think you can figure this one out
เผชิญ – to meet; to encounter
ประสบการณ์ – to experience; to encounter
การติดต่อสื่อสาร – communication (contact + communicate)

การเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว

ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และสามารถออกมาได้
การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว

Get Your Spike On

Some genius has created something that has loads of potential.

Basically, I am completely sold on the fact that audio SRS cards are soooo much more effective than reading alone. The problem has been getting audio for the sentences you want. Our native speaker friends don’t always want to sit around recording loads of sentences for us. I usually cut up things using Audacity and have the text on the back of the card.

Anyways, Rhinospike is a site where users can submit text to be recorded and others in the community record it. I’ve put up the 2 pages form the Wimpy Kid book that I typed up and broke down in the hopes that I’d get a good reading of it. I was a bit disappointed with the results, but that doesn’t stop me from realizing the potential of this tool. As the recordings are made by error-prone humans, quality will vary, but it is still worth looking into.

I’ve been getting a lot of emails lately about people wanting to study with me. I am not in CM at the moment. I have come to Korea for 6 weeks to improve my Korean. It’s slow going, but I think a video of my busted Korean will be happening very soon.

Diary of a Wimpy Kid – Page 6

This is an excerpt from the Thai translation of Diary of a Wimpy Kid which is called ไดอารี่ของเด็กไม่เอาถ่าน. I can’t stress enough how great a tool this is for diving into reading in a new language. I’ve read the series in Japanese, Korean, Thai and I’m currently struggling through the Taiwanese version. Remember that you aren’t going to understand everything. But there are a number of super useful language bits that are great to pick up in any language. It only helps that the book is actually pretty funny as well.

I would try to read through it before going below to check out the vocab/breakdown. Always give things a once over before you give up thinking it is too hard for you. The only way to get better is to constantly challenge yourself. Just spend less time on boring stuff focus more on the fun stuff.

I have long wanted to do a guide for the entire book, but I think it would be too time consuming and not very lucrative. It would however, be a pretty awesome learning tool.

As some of you already know, when I do private lessons, as soon as you can read the alphabet we start on this book. The real language in this book is far better than any textbook or do-it-yourself book that I have come across.

เดี๋ยวนี้พวกเด็กผู้หญิงเป็นอะไรกันหมดนะ สมัยเรียนประถมมันไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้เลย เอาแค่ได้เร็วที่สุดในห้อง พวกผู้หญิงก็ชอบกันหมดแล้ว

และตอนเรียน ป. 5 คนที่วิ่งเร็วที่สุดครือรอนนี่ แมคคอย

เดี๋ยวนี้มันยุ่งยากกว่านั้นเยอะ เด็กผู้หญิงจะชอบดูว่าเราใส่เสื้อผ้าอะไร หรือรวยมั้ย หรือก้นน่ารักมั้ยอะไรประมาณนั้น แล้วเด็กอย่างรอนนี่ แมคคอยก็ได้แต่นั่งเกาหัวแกรก ๆ สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นมา

เด็กผู้ชายที่หญิงผู้ชอบมากที่สุดคือไบรซ์ แอนเดอร์สัน ฉันละเซ็งจริงๆ คิดดูสิ ฉันเป็นคนที่เข้ากันได้กับพวกผู้หญิงมาตลอด แต่เด็กอย่างไบรซ์เพิ่งจะมาสนิดกับพวกผู้หญิงแต่ไม่กี่ปีนี้เอง

______________________________________________________________________
Breakdown

เดี๋ยวนี้พวกเด็กผู้หญิงเป็นอะไรกันหมดนะ What is up with girls these days?

สมัยเรียนประถม Back when I was in elementary school

มันไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้เลย It wasn’t nearly this complicated

เอาแค่วิ่งได้เร็วที่สุดในห้อง You just had to be the fastest in the (class)room and

พวกผู้หญิงก็ชอบกันหมดแล้ว all the girls would sweat you

และตอนเรียน ป. 5 and back in 5th grade

คนที่วิ่งเร็วที่สุดคือ the fastest runner was

รอนนี่ แมคคอย Ronnie Maccoy

เดี๋ยวนี้มันยุ่งยากกว่านั้นเยอะ These days it’s a lot more complicated.

เด็กผู้หญิงจะชอบดูว่า Girls like to check out

เราใส่เสื้อผ้าอะไร what kinda clothes we wear

หรือรวยมั้ย whether we are rich

หรือก้นน่ารักมั้ย or have a cute ass

อะไรประมาณนั้น and that kinda stuff

แล้วเด็กอย่าง and kids like

รอนนี่ แมคคอย Ronnie Maccoy

ก็ได้แต่นั่งเกาหัวแกรก ๆ just sit around scratching their heads (แกรก ๆ = scratching sound)

สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นมา wondering what the hell happened

เด็กผู้ชายที่หญิงผู้ชอบมากที่สุดคือ The boy who the girls like the most is

ไบรซ์ แอนเดอร์สัน Bryce Anderson

ฉันละเซ็งจริงๆ I’m really sick of it.

คิดดูสิ I mean, just think about it –

ฉันเป็นคนที่เข้ากันได้กับพวกผู้หญิงมาตลอด I have ALWAYS gotten along with the girls.

แต่เด็กอย่างไบรซ์ But kids like Bryce

เพิ่งจะมาสนิดกับพวกผู้หญิงแต่ไม่กี่ปีนี้เอง Have only just gotten friendly with the girls in the past couple of years.

_________________________________________________________________________
Really Useful Stuff

เป็นอะไรกันหมด

เป็นอะไรกัน can mean “what’s with them” as well as “what is their relationship/connection”
The use of หมด implies that it is ‘all’ of them. In this case, girls.

ประถม or Prathom refers to the first 6 years of education. Grades 1-6 are ป. 1 – ป. 6.
The ป. is an abbreviation of ประถม and is read as ปอ.

ไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้เลย

~ขนาดนี้ is used to clarify the extent of something
Here are a few examples I pulled from Google.

1. ทำไม GPRS ของ TRUEMOVE ถึงได้แพงขนาดนี้อ่ะ
Why is it that using GPRS on TRUEMOVE (mobile network) is this expensive?

2. ทำไม CPU ของผมมันร้อนขนาดนี้
Why is my CPU getting this/so hot?

3. เมืองไทยตอนนี้แย่ขนาดนี้แล้วหรอ
Has Thailand really gotten this bad?

มั้ย is the colloquial pronunciation of ไหม. It is also usually typed this way in a lot of informal online communication.

สงสัยว่า…. – I wonder if/about/that ….
Some fun Googly examples –

1. สงสัยว่าถ้าภรรยาท้อง สามีจะเอาผ้าไปซักที่ไหนคะ?
(I’m) wondering if a wife is pregnant, where can the husband wash his clothes?

2. สงสัยว่าปลวกอาจจะขึ้นบ้านลิง
Wondering if termites might have infested the monkey house.

3. ถ้าสงสัยว่าเพื่อนจะเป็นเกย์ ถามเขาตรงๆเขาจะโกรธไหม?
If you are wondering if your friend is gay and you ask him straight up, is he going to be pissed?

4. นางเอกหนังอวตาร เขาเอาต้นแบบมาจากใคร สงสัยว่าเป็น แอ็งเจลิน่า โจลี่ใช่หรือไม่
As for the female star of Avatar, where did they base her shape/figure on? I’m wondering if it was Angelina Jolie…

สนิดกับ – To be สนิดกับ someone means you are close to them.
It is also used to express the closing of something tightly such as doors or faucets. So a door that was ปิดไม่สนิด would not be closed all of the way.

เข้ากัน – This is similar to the above expression. If 2 things เข้ากัน it means they ‘go well together.’
So in the case of people it means they get along well or are good for each other.

Nana

Nana the Movie
นานะเป็นการ์ตูน เอ้ย!ไม่ใช่การ์ตูน เป็นหนัง น่าจะเป็นหนังญี่ปุ่น(อ้าวเหรอ) เออ!เพราะว่าเพลงที่ขึ้นเป็นเพลงญี่ปุ่น ชื่อ? แน้!รู้เพลงญี่ปุ่นด้วย 55++ เสร็จแล้ว เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิง 2 คน ที่มีชื่อเหมือนกัน คนหนึ่ง (อ่า…ก็เคยดูเหมือนกันนะ) เออ!คนหนึ่งนะจะมีความฝันจะเป็นนักดนตรี (รู้ล่ะ) ที่มีชื่อเสียง(อือฮือ!) แต่อีกคนมีความฝันอยากจะเป็นคนที่ถูกรัก โดยที่แบบ คือ….เพ้อเจ้อหน่อยๆนะเรื่องของความรัก สองคนนี้พอดีได้ไปโตเกียว ไปเที่ยวรถ รถไฟคันเดียวกัน ขบวนเดียวกัน ก็ไปเจอกันบนรถไฟ แล้วก็บังเอิญอีกครั้งหนึ่ง ไปแชร์ห้องแล้วก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็เลยได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นานะคนแรกก็คือนานะที่มีความฝันเป็นนักดนตรีเนี่ยเค้าจะเป็นคนที่อาร์ทๆนะแต่งตัวตีสท์นะ แล้วก็ชอบใส่ชุดสีดำอะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เป็นแนวเซอร์ๆหน่อย ไม่ค่อยอะไรกับใคร มีโรคส่วนตัวสูง แต่อีกคนหนึ่งเป็นแนวแบบอ่า….ช่างเพ้อฝันนะค่ะ คิคุอะโนเน๊ะ น่ารัก ต้องอยู่กับคนรัก คนรักต้อง.. แล้วสุดท้ายคนรักเค้าก็นอกใจเพราะว่าไปอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีความ เค้าเรียกว่า ความใกล้ชิด เลยทำให้คนนั้นเปลี่ยน(ไป) เค้าก็เลยเสียใจ แล้วก็อยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งก็แฟน(เก่า)ของคน คนนั้นนะที่เป็นนักดนตรีนะค่ะ เค้าก็เป็น ตอนนี้คือ เค้าเรียกว่าอะไร? เป็นแบนด์แล้วนะ เป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียง เค้าก็ไปดูกัน แล้วก็สุดท้ายแล้ว นานะคนที่เป็นนักดนตรีเนี่ย ก็สมหวังก็คือผู้ชายคนนี้ก็กลับมารักแล้วก็สมหวังกัน  กับอีกคนที่เพ้อฝัน เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เค้าแค่เห็นเพื่อนเค้ามีความสุขก็ดีใจแล้ว เค้าก็ยังมีความใฝ่ฝันที่จะตามหาคนคนนั้นที่จะรักเค้าคนเดียวต่อไป ก็จบ (จบ)

Nickname – Transcript + Breakdown

[youtube=http://www.youtube.com/watch?v=ODP3FC4YDgI]

ฉายา ก็คือเป็นลักษณะของคำ ที่เหมือนเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกคน อย่างเช่น สมมติว่า บู๋นะเป็นคนตลก หัวเราะง่าย อย่างปกติเดินเข้าคณะ เดินเข้าไปในห้องแลปปุ๊บ!ก็หัวเราะโดยที่ไม่มีสาเหตุ เสร็จแล้ว ก็เป็นอย่างงี้ทุกวัน ทุกวัน จนพี่ที่ห้องแลปเค้าก็เลยบอกว่า เออ!เนี่ยบู๋นะต้องกินกัญชาอะไรมาแน่เลย ทำไมมันหัวเราะทุกวันเลย แล้วพอมาวันนี้ พอบู๋จะเดินออกจากห้องแลป บู๋ก็บอกว่า “ไปแล้วนะค่ะพี่ๆ บ๊ายบาย ” อย่างเงี่ย พี่คนหนึ่งก็พูดขึ้นมา “จะกลับแล้วเหรอบู๋เชิญยิ้ม”อย่างเงี่ย คือเหมือนเป็นฉายาหนึ่งที่ตั้งแบบลักษณะของคน ที่เด่นๆของคนคนนี้ว่าเค้ามีลักษณะแบบไหน แล้วก็ให้ชื่อคนนั้นไป อันนี้คือคำว่าฉายา ของบู๋ก็มีฉายาว่าบู๋เชิญยิ้ม ซึ่งตอนแรกมีมาตั้งแต่สมัยเรียนป.ตรีแล้ว มีเพื่อนเคยเรียก แต่ไม่มีใครเรียกมานานแล้ว เพราะจบไปแล้วไง อืม…แล้วพอมาเรียนป.โท ไม่คิดว่าจะมีคนเรียก ตกใจเลยนะ หันไป ทำไมเค้าถึงเรียกอย่างเงี่ย แล้วเค้าก็บอกว่า ก็บู๋หัวเราะได้ทุกวัน จบ

ฉายา nickname

ก็คือ well, it’s..

เป็นลักษณะของคำ it’s a ลักษณะ of a word

ที่เหมือนเป็น thats the same as

ชื่ออีกชื่อหนึ่ง another name

ที่ใช้เรียกคน that’s used to call someone

อย่างเช่น For example…

สมมติว่า let’s assume that..

บู๋นะเป็นคนตลก I’m kinda funny

หัวเราะง่าย and I laugh easily

อย่างปกติ as usual

เดินเข้าคณะ I’m going into my faculty

เดินเข้าไป I walk into ..

ในห้องแลป the lab and

ปุ๊บ! ก็หัวเราะ bam (suddenly), I start laughing

โดยที่ไม่มีสาเหตุ without really having a reason…

ก็เป็นอย่างงี้ทุกวัน and so it goes like this every day

ทุกวัน every day

จน until

พี่ที่ห้องแลป a พี่ from my lab..

เค้าก็เลยบอกว่า He goes and says….

เออ!เนี่ยบู๋นะต้องกินกัญชาอะไรมาแน่เลย Jeez Boo, you must be smoking something..

ทำไมมันหัวเราะทุกวันเลย why are you always laughing?

แล้วพอมาวันนี้ and then this one day comes…

พอบู๋จะเดินออกจากห้องแลป and as soon as I’m walking out of the lab…

บู๋ก็บอกว่า I say…

“ไปแล้วนะค่ะพี่ๆ บ๊ายบาย ”  I’m heading out.  Cya.

อย่างเงี่ย like this

พี่คนหนึ่งก็พูดขึ้นมา and my พี่ yells out…

“จะกลับแล้วเหรอบู๋เชิญยิ้ม” Leaving already บู๋เชิญยิ้ม ? (<—ฉายา)

อย่างเงี่ย like that

คือเหมือนเป็นฉายาหนึ่ง  its like a nickname

ที่ตั้งแบบลักษณะของคน that is based on the characteristics (personality and/or physical)

ที่เด่นๆของคน that stand out

คนนี้ว่า and as for me (this person..)

เค้ามีลักษณะแบบไหน what am I like?

แล้วก็ให้ชื่อคนนั้นไป well, I was given that name

อันนี้คือคำว่าฉายา this is ฉายา

ของบู๋ก็มีฉายาว่าบู๋เชิญยิ้ม and my ฉายา is บู๋เชิญยิ้ม

ซึ่งตอนแรกมีมาตั้งแต่สมัยเรียนป.ตรีแล้ว which started up while I was in college..

มีเพื่อนเคยเรียก some friends used to call me that

แต่ไม่มีใครเรียกมานานแล้ว but nobody has used it in a while

เพราะจบไปแล้วไง ’cause I’ve already graduated…

อืม…  yea…

แล้วพอมาเรียนป.โท and then I started studying for my masters..

ไม่คิดว่าจะมีคนเรียก and I didn’t think anybody would call me that (anymore)

ตกใจเลยนะ its kinda surprising

หันไป looking back

ทำไมเค้าถึงเรียกอย่างเงี่ย why did they call me that?

แล้วเค้าก็บอกว่า Well, I’d say it’s because

ก็บู๋หัวเราะได้ทุกวัน I laugh every day.

จบ That’s it.