Reading Archives - Page 14 of 21 - Learn Thai from a White Guy

Robinson Crusoe – Transcript

[youtube=http://www.youtube.com/watch?v=P1aTwMX2vZ4]

Robinson Crusoe

ก็เป็นคนหนึ่งชาว(หัวเราะ) สักอันหนึ่งอ่ะ(หัวเราะ) จำไม่ได้ไง จำได้แค่ว่าคือ เค้าง่ะเป็นคนที่ชอบ  ชอบการผจญภัย เค้าก็เลย  ที่จำได้ก็คือ เค้าออกไปแล่นเรือกับเพื่อนๆ  กับอะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เหมือนแบบเกิดโดนโจรสลัดนะมาปล้น  แล้วเค้าก็ถูกจับไปเป็นเชลย แล้วเสร็จแล้วเค้าก็ แต่ว่าเจ้านายเค้านะเป็นคนดี ใจดีมากเลย พอเค้าถูกจับไปอะไรอย่างเงี่ยก็คือไปเป็นทาส แต่ว่าเค้าก็ไม่ได้แบบโหดร้ายทารุณอะไร อะไรชายคนนี้ นายเอแล้วกันบู๋จำชื่อไม่ได้ ไม่ได้ทารุณเอ แล้วพอมาวันหนึ่งเค้าก็ให้ออกไปแบบไปล่องเรือคือประมาณแบบว่ามีโอกาสที่จะหลบหนี เค้าก็เลยหลบหนีออกไปเสร็จแล้วปุ๊บก็เค้าก็เรือมันแบบไม่ได้ใหญ่อะไรมากอย่างเงี่ย มันก็เลยเหมือนแบบอับปราง แล้วก็ไปติดอยู่บนเกาะ เค้าก็อยู่บนเกาะคนเดียวคือคนอื่นนะตายหมดเลยอะไรอย่างเงี่ย เค้าก็อยู่บนเกาะคนเดียว แล้วก็พอเค้าตื่นขึ้นมาคือประมาณว่าก็อยู่บนเกาะที่ข้างรอบๆข้างก็มีแต่ทะเลอย่างเงี่ย เค้าก็ไม่รู้ต้องใช้ชีวิตอย่างไง ต้องทำอย่างไง เค้าก็เริ่มเรียนรู้ว่าอยู่บนนี้อันดับแรกก็ต้องสร้างๆบ้าน สร้างที่พัก สร้างที่อยู่ แล้วก็หาอะไรมากิน แล้วการจะหาอะไรกินก็ต้องเป็นผลไม้หรือว่าเป็นสัตว์ป่าที่อยู่ตรงนั้น แล้วก็น้ำก็ต้อง เค้าก็ต้องรู้จักที่จะจุดไฟแล้วก็มีหม้อ มีอะไรอย่างเงี่ยเพื่อที่จะเอามาต้มน้ำ เพราะถ้าเกิดกินน้ำที่มันมาจากน้ำทะเลหรือจากที่แบบตามแหล่งน้ำที่แบบตรงนั้นมันก็ต้องแบบไม่สะอาด แล้วก็อาจจะทำให้เค้าติดเชื้ออะไรอย่างงี้ได้ เค้าก็เลยแบบต้องหาหม้อมาต้ม แล้วเค้าจะหาหม้อจากไหน คือเค้าไม่มีอะไรเลย เค้าก็เลยแบบต้องเริ่มสร้างจากหินจากอะไรอย่างเงี่ยก็เอาหินมาแบบ เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ ตีๆๆต่อยกันจนแบบเหลาให้เป็นไม้ เป็นมีดดาบ อะไรอย่างเงี่ย คือ เครื่องครัวอะไรต่างๆนาๆของเค้า คือเหมือนประมาณว่าบ้านหลังหนึ่งควรจะมีของอะไรบ้าง คือเค้าสร้างขึ้นมาเองหมดเลย แต่ว่าระยะเวลาในการสร้างก็คือ เค้าอยู่ที่นี้ประมาณ 27 ปี เพื่อที่จะสร้างพวกนี้ให้ครบหมดทุกอย่างเลย จนสุดท้ายสุดที่เค้านะหลบหนีออกมาจากเกาะนี้ได้ก็มีคนหนึ่งก็ ไม่ใช่มีคนหนึ่งก็กลุ่มหนึ่งเหมือนกัน เค้าเป็นเหมือนเป็นกัปตันเรือ แล้วเค้าก็ถูกจับโดยแบบมีแบบมีพวกที่ทรยศเค้าเนี่ยในเรือเดียวกันนี้ เค้าก็ถูกจับเอาไว้ เค้า(นายเอหรือRobinson)ก็เหมือนแบบไปช่วยคนเนี่ย(กัปตัน) แล้วคนเนี่ยก็เลยบอกว่า เออเนี่ย! ทำแผนกันว่าเค้า(กัปตัน) จะไปเอาเรือคืนอะไรอย่างเงี่ย ไปเอาเรือคืน แล้วถ้าเกิดเค้าส่งสัญญาณมานั้นแปลว่าสงบแล้วก็ให้เค้าออกไป แล้วเค้าก็จะพาไปกลับบ้านเค้าอะไรอย่างเงี่ย(เป็นคนประเทศเดียวกัน) แล้วสุดท้ายแล้วกัปตันนี้ก็ทำสำเร็จก็เลยพาเค้ากลับบ้านแล้วก็จับไอ้พวกที่ทรยศนั้นน่ะให้มันถูกจับอยู่เกาะแทนเงี่ย แต่พวก แต่ว่าพวกนี้ก็ยังโชคดีกว่าเค้าตอนที่เค้ามาครั้งแรกคือเค้าไม่มีอะไรเลย เค้าสร้างเองหมด แต่ตอนนี้พวกเนี่ยมาคือเค้าสร้างไว้ให้หมดแล้ว อย่างงั้นพวกนี้ก็ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่ามันจะติดต่อกับใครไม่ได้เท่านั้นเอง แล้วเค้าก็ได้กลับบ้าน แต่สรุปสุดท้ายเค้าก็คิดว่าเค้าจะไม่ ไม่ล่องเรืออีกล่ะ จะไม่ทำอะไรอีกล่ะ ก็คือแบบจะอยู่ชีวิตเฉยๆธรรมดาๆ เรียบง่ายอะไรอย่างเงี่ย แต่การที่เค้ากลับไป 27 ปีที่เค้าไม่อยู่ พอเค้ากลับไป พ่อ แม่ ของเค้าก็ตาย พี่ชายเค้า ญาติเค้าก็คือตาย(ไป)หมดเลย เหลือแต่หลาน หลานกับลูกของพี่ชาย(หลานอีกคน) ก็ประมาณ 2 คนเท่านั้นแหละที่เค้า(ไป)อยู่ด้วย แล้วสรุปสุดท้ายหลานเค้าคนโตเนี่ยก็ชอบเหมือนกัน ชอบเหมือนกับเค้าก็เลยแบบชวนเค้าออกไปล่องเรืออีกครั้งหนึ่ง เค้าก็เลยได้ออกมาผจญภัยอีกครั้งหนึ่งเนี่ย เค้าก็เลยคิดว่าเองเค้านะเป็นเรื่องที่แปลก เรื่องที่แปลกที่วันหนึ่งจะต้องเอามาเขียนเป็นหนังสืออะไรอย่างเงี่ย แล้วก็เอามาขายได้ อะไรอย่างเงี่ย อืมมม จบล่ะ

Dune + Thai Reading Skills

So in a recent (2009!) post I posted a brief excerpt from a book I’m reading at the moment.  I was hoping somebody had read the book or seen the movie and remembered one of the more famous lines, but perhaps not.

Getting the book was a bit of a hassle.  Not for me, but for my student, Boo, who is often roped into being my speaker for the Language Space vids.  You can hear about some of the adventure in this vid.  As it turns out, there were only 2 sets (sold as a trilogy) left in Thailand.  Now there is only 1.

Anyways, I often look through the wikis of stuff that I like or used to like so I thought I’d break down the really short wiki on Dune in Thai because there is some great SRS stuff inside if you ever end up digging into this kind of stuff.

Remember, it is only hard because you have no experience doing it.  You can study for 10 years and it will still be hard.  The only way it will get easier is if you actually start doing it.  I’m not just referring to language here.  You only suck at something because you haven’t put in enough time yet.   Don’t let the nonsense that comes out of other people’s mouths affect how you think about yourself and what you are (in)capable of.  Everything gets easier with practice.  Don’t wait for the right time or the right setup.  Just get started now.  Figure out how to make it better along the way.  Just do something and stop whining.   You certainly can’t get worse by doing it.

I expect it to take me at least a year to finish the Dune trilogy in Thai.  Thai is pretty low-priority for me these days, but I keep plugging away to keep the new words coming in.  I’ll sit down 2-4 times a week and set a min time limit.  Usually 15 minutes.  Then I just read.  There are always words I don’t know, but I know whats going on in the story.  It tends to be the more artsy descriptive language that I end up guessing with.  I allow myself to write down 1-2 words/page that I may want to look up later, but only if a word really jumps out at me.    After 15 min is up, if I feel bored, tired or whatever I stop then and move on to something else.  If I am into what is going on in the story and want to keep going, I give myself another 15 min.  Its rare that I get past 30 min in one sitting.  The Thai version is nearly 700 pages and I think I’m in the 70s at the moment.   The thing that keeps me going is that I want to read the story and my Thai reading ability is passable enough that I can do this.  But I also know that by the time I am halfway through the book, I will be used to the style of writing, have a better idea what a lot of those funny descriptive words mean making the whole process worth it.  It will get easier and more fun.  The first book will take the longest for sure.

*I eventually finished all 3 books from the first 3 Dune books by Frank Herbert (Thai translation) and it took just a few months of trying to read at least 15min/day.  It was slow going at first, but once I got used to the style and some of the new Thai vocabulary, it got easier (but still not easy!).

Want to learn how to read and speak Thai?  Check out my full program here.

http://th.wikipedia.org/wiki/ดูน_(นวนิยาย)

ดูน (อังกฤษDune) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์โดยแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1965 จำหน่ายได้มากกว่า 12 ล้านเล่มทั่วโลก [1] ได้รับรางวัลเนบิวลาประจำปี ค.ศ. 1965

ดูนมีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกอนาคต กล่าวถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์ วิวัฒนาการ สังคมวิทยา นิเวศน์วิทยา โดยอ้างอิงถึงเรื่องศาสนา การเมือง และอำนาจ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสองวรรณกรรมวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลก เทียบเท่ากับ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน [2] (จากการสำรวจเมื่อปี 1975)

นิยายวิทยาศาสตร์ Sci-Fi

ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1965 – first printed in 1965

จำหน่ายได้มากกว่า 12 ล้านเล่ม sold more than 12 million copies

ทั่วโลก worldwide

ได้รับรางวัลเนบิวลาประจำปี ค.ศ. 1965 –  received the annual Nebula award in 1965

เนื้อหา –  content

เกี่ยวกับ – about; concerning

โลกอนาคต – a future  world

กล่าวถึง – telling of; talking about

การดำรงอยู่ของ – the exsistence of..

มนุษย์ – human

วิวัฒนาการ – evolution

สังคมวิทยา – sociology

นิเวศน์วิทยา – ecology

ศาสนา – religion

การเมือง – politics

อำนาจ – power

ได้รับการยกย่อง – received praise..

หนึ่งในสอง – 1 of 2

วรรณกรรมวิทยาศาสตร์ – sci-fi

ที่ดีที่สุดในโลก – best in the world

เทียบเท่ากับ – compared with

Phuket Stinks

Here is an amusing article I translated today.  I’ll post my translation below, but keep in mind that its not literal and I’ve changed the order in English around because it reads better.

The only name in the article is crossed out.  Learning to recognize names of people and places and then ignoring them is an important part of learning to read in a new language.

Vocab:

  • ปลัด เทศบาล (high ranking local offical)
  • กลิ่นเหม็น    foul odor (smell+bad smell)
  • ที่เกิดจาก that is coming from/caused by
  • กล่าวถึง (กล่าว = essentially newspeak for ‘say’)
  • โดยเฉพาะ especially
  • บริเวณหมู่บ้าน สะพานหิน the area around Moo Baan Sapaan Hin (lit. Stone Bridge Village)
  • ที่เกิดขึ้น the scene (the place where ‘something’ occurred)
  • บ่อฝังกลบขยะ landfill
  • จำนวนมาก a lot (large quantity)
  • หาแนวทาง find a way (to do something)
  • การเสริมคันบ่อฝังกลบให้สูงขึ้น increase the height (edge/ridge) of the landfill
  • เพื่อลดความรุนแรงของ to reduce the severity of…
  • อย่างไรก็ตาม in any case
  • เตาเผารับได้ the incinerator can handle…

เทศบาลภูเก็ตเร่งแก้ปัญหากลิ่นเหม็นจากบ่อฝังกลบ

10 มิย. 2552 17:33 น.

นายธวัชชัย ทองมั่ง ปลัดเทศบาลนครภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึง กรณีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากบ่อฝังกลบขยะของเทศบาลนครภูเก็ต ส่งผลให้ชาวบ้านซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้านสะพานหิน ได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของขยะจากบ่อฝังกลบดังกล่าว ว่า ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นในระยะนี้ เนื่องจากได้มีการปรับปรุงบริเวณบ่อฝังกลบขยะ โดยมีการขุดดินเพื่อทำเป็นคันเสริมขอบบ่อให้มีความสูงเพื่อให้สามารถฝังกลบขยะได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีฝนตกลงมา จึงทำให้ขยะที่ฝังกลบมาเป็นเวลานานและมีเป็นจำนวนมากส่งกลิ่นเหม็น 
“ ในส่วนของเทศบาลนครภูเก็ตไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น โดยได้พยายามหาแนวทางในการแก้ไข ด้วยการนำสารดับกลิ่นมาราดลงไปบนกองขยะดังกล่าว เพื่อลดความรุนแรงของกลิ่น ก็จะเชื่อว่าปัญหาเรื่องกลิ่นดังกล่าวคงทุเลาเบาบางลงไปได้ ” 
อย่างไรก็ตามนายธวัชชัย ยังกล่าวด้วยว่า เหตุที่ต้องมีการเสริมคันบ่อฝังกลบให้สูงขึ้น เนื่องจากเตาเผาซึ่งใช้งานอยู่ได้เพียงตัวเดียว ขณะนี้ได้หยุดดำเนินการเพื่อทำการซ่อมบำรุงเป็นเวลา 1 เดือน ทำให้ต้องนำขยะที่เคยเข้าสู่เตาเผาซึ่งมีเฉลี่ยวันละ 500 ตัน และเตาเผารับได้ 250 ตัน ต้องนำไปทำการฝังกลบแทน
____________________________________________________________________________________
Local residents, especially those in and around Moo Baan Sapaan Hin, are fed up with the foul odor emanating from the landfill in the Municipality of Phuket.
Mr. Tawatchai Tongmang (ธวัชชัย ทองมั่ง ), the Permanent Secretary of Phuket responded to complaints ensuring locals that the government is aware of the problem and is working to solve it.
He stated that the landfill is currently being expanded to increase capacity. This has left some of the garbage exposed while the walls of the landfill are being raised. Recent rain has exhasberated the problem, creating a considerable stench due to the wet garbage.
“The Municipality is not taking the seriousousness of this problem lightly. We are working on ways of solving this issue, such as with deodarants that should reduce the stench to a more moderate level.”
The landfill is being expanded as the amount of daily waste being produced in Phuket has increased lately due to Phuket’s sole incinerator being out of service for approximately 1 month for repairs. Normally, the incinerator can handle 250 tons per day. This is half of what Phuekt produces each day so the excess garbage is being put in the landfill for the time being.

藪の中 Part 5 Continued (ในป่าละเมาะ)

As requested, I’m gonna keep going forward with 藪の中.   I’ll keep to shorter pieces.  If anybody wants the entire text, you can grab it here.  

  ทุกอย่างราบรื่น ข้ากลายเป็นเพื่อนร่วมทางของพวกมัน ข้าบอกพวกมันว่ามีเนินดินเก่าอยู่บนเขาถัดไปทางโน้น และข้าไปขุดเจอกระจกกับดาบจำนวนมาก ข้าเล่าต่อว่าข้าเอาของไปฝังไว้ในป่าละเมาะหลังเขา และอยากจะขายถูกๆ ให้ใครก็ตามที่อยากได้ ทีนี้…ท่านเห็นหรือยังว่าความโลภมันน่ากลัวแค่ไหน  เจ้านั่นเริ่มหลงละเมอไปกับสิ่งที่ข้าพูดโดยไม่เฉลียวใจสักนิดเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผัวเมียนั่นก็ขี่ม้าบ่ายหน้าไปภูเขากับข้า
    พอมาถึงหน้าป่าละเมาะ ข้าก็บอกทั้งคู่ว่าข้าฝังสมบัติไว้ในนั้น และชวนพวกมันเข้าไปดู ผู้ชายไม่ได้ว่าอะไร เพราะโดนความโลภบดบังจนตาบอด ส่วนผู้หญิงบอกว่าจะรอบนหลังม้า พอเห็นป่าทึบแบบนั้นผู้หญิงที่ไหนจะอยากเข้าไป พูดกันตามตรงนี่ก็เป็นไปตามที่ข้าวางแผนไว้ ข้าเลยเข้าไปในป่ากับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงรออยู่ข้างนอกคนเดียว

 

*************************************************************************************************************************

 

ทุกอย่างราบรื่น everything was going smoothly

ข้ากลายเป็นเพื่อน ร่วมทางของพวกมัน

like I was becoming friends with the both of them

ข้าบอกพวกมันว่า I told them…

มีเนินดินเก่า there was an old hill

อยู่บนเขาถัดไป over on the mountain

ทางโน้น way over there

และข้าไปขุดเจอกระจก and I dug up (lots) of mirrors

กับดาบจำนวนมาก and swords

ข้าเล่าต่อว่า I continued on, explaining to them that

ข้าเอาของไปฝังไว้ I I had buried the stuff

ในป่าละเมาะ in a grove

หลังเขา behind the mountain

และอยากจะขายถูกๆ and that I was willing to sell the stuff real cheap

ให้ใครก็ตามที่อยากได้ to anyone who was interested

ทีนี้ท่านเห็นหรือยังว่า Here,…are you getting it yet?

ความโลภมันน่ากลัวแค่ไหน greed is a pretty scary thing..

เจ้านั่นเริ่มหลงละเมอไป they were starting to believe

กับสิ่งที่ข้าพูด what I was telling them

โดยไม่เฉลียวใจ without suspecting anything สักนิดเดียว (the slightest bit)

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง within a half an hour

ผัวเมียนั่น the couple

ก็ขี่ม้าบ่ายหน้าไปภูเขากับข้า were on their way with me to the mountain

พอมาถึงหน้าป่าละเมาะ as soon as we got to the thicket

ข้าก็บอกทั้งคู่ว่าข้าฝังสมบัติไว้ในนั้น I told them the treasure was buried inside

และชวนพวกมันเข้าไปดู and invited them to come along and check it out

ผู้ชายไม่ได้ว่าอะไร the man said nothing

เพราะโดนความโลภบดบังจนตาบอด because he was blinded by greed

ส่วนผู้หญิงบอกว่าจะรอบนหลังม้า the woman said she would wait outside the grove

พอเห็นป่าทึบแบบนั้น Seeing the forest, as thick as it was..

ผู้หญิงที่ไหนจะอยากเข้าไป what woman would enter willingly?

พูดกันตามตรงนี่ก็เป็นไป to be frank…

ตามที่ข้าวางแผนไว้ this was just what I had planned all along

ข้าเลยเข้าไปในป่ากับผู้ชาย I entered the grove with the man

ส่วนผู้หญิงรออยู่ข้างนอกคนเดียว the woman waited outside alone

This is not a Diary

Excerpt from เด็กไม่เอาถ่าน  

วันอังคาร

ก่อนอื่นฉันขอบอกให้ชัดๆ ไปเลยว่า

นี่เป็นบันทึกประจำวัน   

ไม่ใช่ไดอารี่ ถึงบนหน้าปกมันจะเขียนไว้ว่าอย่างนั้นก็เถอะ

เมื่อตอนที่แม่ออกไปซื้อมันมาน่ะ

ฉันก็ ย้ำนัก ย้ำหนา แล้วว่าอย่าเอาเล่มที่เขียนว่า “ไดอารี่” มา   

คิดดูสิ ถ้าเกิดมีเจ้าโง่ที่ไหนมาเห็นฉันถือสมุดเล่มนี้เดินไปเดินมา

แล้วเข้าใจผิดละก็

แล้วก็อีกอย่างนะ

ต้องบอกให้เคลียร์ๆ กันตรงนี้เลยว่า

นี่เป็นความคิดของแม่ ไม่ใช่ความคิดฉัน   

แล้วถ้าแม่คิดว่าฉันจะเขียน “ความรู้สึก”  ของฉัน

หรืออะไร ทำนองนั้นลงในนี้ละก็ แสดงว่าแม่เพี้ยนไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น อย่ามาหวังซะให้ยากว่าฉันจะ เขียนว่า  

“ไดอารี่ที่รัก” อย่างนั้น “ไดอารี่ที่รัก”  อย่างนี้  

เหตุผลเดียวจริงๆ ที่ฉันยอมเขียนก็คือ

ฉันเกิดคิดได้ว่า อีกหน่อยพอฉันรวยและมีชื่อเสียงแล้วนะ

ฉันก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำงี่เง่าทั้งวันไงละ

Reporter A – “เกรกอรี่! ช่วยเล่าเรื่องสมัยเด็กใ้ห้เราฟังหน่อย!”

Reporter B – “วุ้ย คุณนี่ ทั้งหล่อทั้งฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยเหรอค้า”

Greg – “เิอ้านี่บันทึกประจำวันของผมเอาไปอ่านซะ”

สมุดเล่มนี้จะช่วยได้มากเลย ****************************************************************************

วันอังคาร

ก่อนอื่นฉันขอบอกให้ชัดๆ ไปเลยว่า – first off, I want to make it very clear that  

 

นี่เป็นบันทึกประจำวัน – this is a journal 

 

ไม่ใช่ไดอารี่  – not a diary

 

ถึงบนหน้าปกมันจะเขียนไว้ว่า as for the cover saying  

 

อย่างนั้น that (diary)

 

 ก็เถิะ – whatever (I don’t care, it doesn’t matter)

 

เมื่อตอนที่ – When 

 

แม่ออกไปซื้อมันมาน่ะ – my mom went out to go buy it  

 

ฉันก็ ย้ำนัก ย้าหนา แล้วว่า – I told her a million times..

 

อย่าเอาเล่มที่เขียนว่า “ไดอารี่” มา – not to come back with a book that said diary (on the cover)

 

 

คิดดูสิ I mean, think about it..

 

ถ้าเกิด what if

 

มีเจ้าโง่ที่ไหนมาเห็นฉัน some idiot came along and

 

ถือสมุดเล่มนี้เดินไปเดินมา – saw me walking around carrying this book (that says diary on the cover)

 

แล้วเข้าใจผิดละก็ – and misunderstands?

 

แล้วก็อีกอย่างนะ – And another thing..

 

ต้องบอกให้เคลียร์ๆ กันตรงนี้เลยว่า – that needs to be said (made clear, pointed out)

 

นี่เป็นความคิดของแม่ – This was my mother’s idea.

 

 ไม่ใช่ความคิดฉัน – Not mine.

 

 

แล้วถ้าแม่คิดว่า – If my mom thinks that..

 

ฉันจะเขียน “ความรู้สึก”  ของฉัน – I’m going to write about my ‘feelings’..

 

หรืออะไร  ทำนองนั้น – or any other gushing nonsense

 

ลงในนี้ละก็ – in this book, well.. 

 

แสดงว่า – then it shows that

 

แม่เพี้ยนไปแล้ว – my mother has gone mad

 

เพราะฉะนั้น  s

อย่ามาหวังซะ  ให้ยากว่าฉันจะ – don’t get your hopes up/expect to see me 

 เขียนว่า  “ไดอารี่ที่รัก”  – writing ‘dear diary’ this

อย่างนั้น “ไดอารี่ที่รัก”  อย่างนี้ – or ‘dear diary’ that

 

 

เหตุผลเดียวจริงๆ – And the main reason… 

 

ที่ฉันยอมเขียนก็คือ – I’ve agreed to write this is .. 

 

ฉันเกิดคิดได้ว่า -I realized that 

 

อีกหน่อยพอฉันรวย – before long I will be rich

 

และมีชื่อเสียงแล้วนะ – and famous..

 

ฉันก็จะได้ไม่ต้อง – I won’t have to 

 

มาคอยตอบคำงี่เง่าวันไงละ – wait around answering stupid questions 

 

Reporter A – “เกรกอรี่! ช่วยเล่าเรืองสมัยเด็กใ้ห้เราฟังหน่อย!”

 – Gregory ! Please tell us all about your childhood!

 

Reporter B – “วุ้ย คุณนี่ ทั้งหล่อทั้งฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยเหรอค้า”

-Oooh, have you always been this handsome and clever?

 

Greg – “เิอ้านี่บันทึกประจำวันของผมเอาไปอ่านซะ”

-Here, just go read my journal.

 

สมุดเล่มนี้จะช่วยได้มากเลย – See, this book will be a big help.